การดูแลสุขภาพแม่และเด็ก ขณะมีครรภ์และหลังคลอด

การดูแลสุขภาพแม่และเด็ก  ขณะมีครรภ์และหลังคลอด

สาเหตุ เด็กปัญญาอ่อน

ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาและการเรียนรู้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

1.บกพร่องตั้งแต่กำเนิดซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มนี้ โดย 70-80% ไม่ทราบสาเหตุการเกิดอย่างแน่ชัดส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากพันธุกรรม แม่มีอายุมากโดยมีครรภ์ครั้งแรกหลังอายุ 40 ปีรวมถึงพ่อมีอายุ 50-60 ปีความแข็งแรงสมบูรณ์ของเชื้ออสุจิมีน้อย และ

2.ความบกพร่องเกิดจากเหตุอื่นเช่น ภาวะคลอดลำบากจนขาดออกซิเจน และประสบอุบัติเหตุทางสมองอย่างรุนแรง

ด้านดร.แกสตันเฮอเนียส ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสุขภาพจิต ประเทศแคนาดา กล่าวว่า
วิธีการป้องกันความบกพร่องทางสติปัญญาและการเรียนรู้อาจทำได้ด้วยการที่
มารดาที่ตั้งครรภ์ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ คลอดบุตรด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
เสริมสารอาหารไอโอดีน มีภาวะโภชนาการที่ดีและป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
และหากพบความผิดปกติในเด็ก ควรให้การดูแลและการเรียนรู้เหมือนเด็กปกติทั่วไป แล้วเสริมในความต้องการเฉพาะของเด็กที่มีความบกพร่องจะช่วยให้การฟื้นฟูพัฒนาการเด็กทำได้ดี

คนกลุ่มนี้เมื่อได้รับการฟื้นฟูถึงระดับหนึ่งแล้วสามารถทำงานได้อย่างคนปกติ
เช่น งานบรรจุหีบห่อและประกอบชิ้นส่วนสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้จะเชื่อถือได้ในเรื่องความซื่อสัตย์และทำงานตรงต่อเวลา ขอเพียงให้โอกาสพวกเขา

อ้วนมากเกินอาจเสี่ยงแท้งลูก

โรคอ้วนอาจทำให้แท้งง่าย หรือในทางตรงกันข้าม… ถ้าลดความอ้วนได้ อาจจะทำให้การตั้งครรภ์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
ท่านอาจารย์วินนี โลและคณะ แห่งโรงพยาบาลลอนดอน เซนต์ แมรี สหราชอาณาจักร (หมู่เกาะอังกฤษ)
ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างผู้หญิงที่แท้งโดยไม่ทราบสาเหตุ 696 คน
ผลการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่อ้วนมีโอกาสแท้งเพิ่มขึ้น 73% นอกจากนั้นอายุที่เพิ่มขึ้นก็เพิ่มโอกาสแท้งลูกเช่นกัน
ทีนี้ข่าวร้ายย่อม มาคู่กับข่าวดี…
ข่าวดีที่ว่าคือ ผู้หญิงที่อ้วน (obese) ตามนิยามของฝรั่งในที่นี้หมายถึงอ้วนจนมีดัชนีมวลกาย (body mass index / BMI) = 30
หรือมากกว่านั้น คนที่น้ำหนักเกินไม่ได้มีความเสี่ยง (โอกาสเป็นโรค) เพิ่มขึ้น

วิธีคิดดัชนีมวลกายหรือ BMI ทำไม่ยาก วิธีง่ายๆ คือ
* นำเครื่องคิดเลขมาใกล้ตัว
* กดน้ำหนักเป็นกิโลกรัมลงไป
* หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตร 2 ครั้ง
ท่านอาจารย์ดอกเตอร์นิค ฟายเนอร์ อายุรแพทย์สาขาต่อมไร้ท่อ จากโรงพยาบาลแอดเดนบรูคส์ สหราชอาณาจักร กล่าวว่า
การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า ยิ่งอ้วนหรือยิ่งมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงขึ้น โอกาสตั้งครรภ์หรือท้องก็จะลดลง

นอกจากนั้นถ้าคนอ้วนท้อง… โอกาสมีโรคแทรกซ้อนในระหวางการตั้งครรภ์ (โรคของแม่)
และโอกาสเด็กในครรภ์ผิดปกติจะมากขึ้นตามไปด้วย
อาจารย์ฟายเนอร์กล่าวว่า อาจเป็นไปได้ที่เนื้อเยื่อไขมันที่สูงเกินในคนอ้วนทำให้เกิดการอักเสบ หรือธาตุไฟกำเริบมากขึ้น
อาจารย์ท่านเตือนว่า ความพยายามลดน้ำหนักก่อนตั้งครรภ์หรือท้องนั้นดี
ทว่า… ความพยายามลดน้ำหนักในระหว่างการตั้งครรภ์น่าจะไม่ปลอดภัยเท่าไร

เด็กดื่มนมแม่ ฉลาดกว่าเด็กดื่มนมโค

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีข้อดีหลายประการ เช่น ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้เด็ก
โดยเฉพาะเด็กที่ได้รับน้ำนมเข้มข้นในช่วงแรก (colostrum) ของการคลอดจะมีภูมิต้านทานโรคสูงมาก ฯลฯ
ท่านศาสตรา จารย์ไมเคิล เครเมอร์ (Prof. Michael Kramer) และคณะ แห่งมหาวทยาลัยแมคกิลล์ แคนาดา
ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเกือบ 14,000 คนที่คลอดในโรงพยาบาลเบลารุส
ผลการศึกษาพบว่า เด็กที่ได้กินนมแม่อย่างน้อย 3 เดือนแรก (หรือนานกว่านั้น)
มีระดับไอคิว (IQ) ที่อายุ 6 ปีมากกว่าเด็กที่กินนมโค (วัว) ประมาณ 5.9 หน่วย
นอกจากนั้นเด็กที่กินนมแม่ยังมีผลการเรียนดีกว่า ทั้งด้านการอ่าน และการเขียนดีกว่าอีกด้วย
อาจารย์เครเมอร์ ผลของนมแม่ต่อการเรียนรู้ของเด็กอาจเป็นผลจากคุณภาพของนมแม่ที่เหนือกว่านม โค
โดยเฉพาะกรดไขมันที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ประสาท หรือการสร้างพันธะ (bond)
หรือสายใยรักแม่-ลูกที่ดีกว่านมวัวนั้น… ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด  
คุณแม่ที่ไม่มีโอกาสให้นมแม่ในช่วงกลางวันสามารถทำการสะสมนมแม่ไว้ในธนาคารน้ำนม” ได้ โดยใช้ตู้เย็นเป็นที่เก็บการเก็บน้ำนมไว้ ในขวดนมสะอาดในช่องเย็น (ไม่ใช่ช่องแข็ง)
การเก็บไว้ในส่วนกลางตู้เย็นจะดีกว่าการเก็บไว้บริเวณประตู หรือหน้าต่างตู้เย็น
เนื่องจากส่วนกลางตู้เย็นจะมีอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ ไม่ขึ้นๆ ลงๆ เวลาเปิดปิดตู้เย็นแบบส่วนประตู หรือหน้าต่าง
ธนาคารน้ำนมนี้เก็บไว้ได้คราวละ 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมงได้อย่างปลอดภัย จึงควรทำการบันทึกเวลาเก็บน้ำนมไว้ด้วย    เมื่อจะนำไปใช้ … ให้นำน้ำนมออกจากธนาคาร (ตู้เย็น) ใส่ในน้ำอุ่นให้อุ่นพอประมาณ หยดลงบนหลังมือ
เพื่อสังเกตดูว่า ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป ก่อนให้เด็กดื่ม

บุหรี่ หญิงมีครรภ์ และนิ้วทารก

อาจารย์หลี่-ซิง แมน และอาจารย์ ดร.เมนจามิน ชาง แห่งมหาวิทยาลัยเพนน์ซิลวาเนีย ฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ
ได้ทำการศึกษาสถิติของสหรัฐในช่วงปี 2544-2548
ทารกเกิดใหม่มีชีวิตในช่วงนั้นมีมากกว่า 8 ล้านคน ทารกที่นิ้วผิดปกติได้แก่
นิ้วเกิน (polydactyly) นิ้วติดกัน (syndactyly) และไม่มีนิ้ว (adactyly) มีจำนวน 6,522 คน
อาจารย์ท่านตัดเด็กที่มีนิ้วผิดปกติร่วมกับความผิดปกติอื่นๆ 1,121 คนออกไปจากการศึกษา
เหลือไว้แต่พวกที่มีนิ้วผิดปกติอย่างเดียว 5,171 คน
ผลการศึกษาพบว่า แม่ที่สูบบุหรี่ทำให้ลูกมีโอกาสเกิดนิ้วผิดปกติเพิ่มขึ้น 31 % และความเสี่ยงนี้แปรตามจำนวนบุหรี่ที่สูบ
ถ้าแม่สูบ 10 มวนต่อวันหรือน้อยกว่า ทารกจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 29 %
ถ้าแม่สูบเท่ากับหรือมากกว่า 21 มวนต่อวัน ทารกจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 78 %
แม่ที่สูบบุหรี่นอกจากจะทำให้ลูกเสี่ยงต่อการมีนิ้วพิการไปตลอดชีวิตแล้ว
ยังเพิ่มความเสี่ยงอื่นๆ เช่น แท้งลูก คลอดก่อนกำหนด ทารกแรกคลอดมีน้ำหนักตัวน้อย ฯ

เด็กนอนหัวค่ำ นิสัยดีกว่าเด็กนอนดึก

อาจารย์ดอกเตอร์เอลิซาเบธ เจ. ซัสแมน แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สเตท
ซึ่งเป็น 1 ในคณะผู้ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็ก 111 คน อายุ 8-13 ปีพบว่า
เด็กๆ ที่ นอนดึก เช่น เล่นเกมส์ ดูโทรทัศน์ ฯลฯ มีส่วนทำให้เด็กๆ นอนไม่พอ และเกิดปัญหา
เช่น การควบคุมอารมณ์ ความประพฤติแย่ลง ความใส่ใจการเรียน การงานแย่ลง ฯลฯ
เด็กผู้ชายที่นอนดึกมีแนวโน้มจะชอบ แหกกฎกติกามากกว่าเพื่อนๆ ที่นอนตั้งแต่หัวค่ำ
เด็กผู้หญิงที่นอนดึกมีแนวโน้มจะก้าวร้าวมากกว่าเพื่อนๆ ที่นอนตั้งแต่หัวค่ำ
นอก จากนั้นเด็กๆ ที่นอนไม่พอยังมีระดับฮอร์โมนที่ตอบสนองต่อความเครียดเปลี่ยนไปคือ
ฮอร์โมนคอร์ทิซอล (cortisol) ที่ตอบสนองต่อความเครียดจะเปลี่ยนไป
ปกติฮอร์โมน นี้จะสูงตั้งแต่ตื่นนอน และสูงไปจนเย็น ก่อนจะลดลงในเวลากลางคืน
เด็กๆ ที่นอนดึกมีแบบแผนการหลั่งฮอร์โมนเปลี่ยนไป คือ ระดับฮอร์โมนนี้จะต่ำลงในช่วงกลางวัน
การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า คนที่มีระดับฮอร์โมนที่ตอบสนองต่อความเครียด
หรือคอร์ทิซอลเปลี่ยนไปมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมมากขึ้น และซึมเศร้ามากขึ้น

กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

คำแนะนำใหม่จากการประชุมสำนักงานบริหารภาคพื้นทะเลและ บรรยากาศ สหรัฐอเมริกา
(National oceanic and atmospheric administration / NOAA) แนะนำให้คนอเมริกันทุกคน
โดยเฉพาะผู้หญิงมีครรภ์ ผู้หญิงที่ให้นมลูก และเด็กกินอาหารทะเลสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
อาหารทะเลเป็นอาหารที่มีโปรตีนชั้นดี ไขมันชนิดดี(โอเมก้า-3) ไอโอดีน เหล็ก และโคลีน(บำรุงสมองและระบบประสาท)   สาร อาหารเหล่านี้มีประโยชน์มากเป็นพิเศษต่อสมองทารกในครรภ์และเด็ก
ช่วยลดปัญหาการลืมชื่อ (dyslexia) ออทิสติก และพัฒนาการผิดปกติในเด็กหลายอย่าง
รายงาน การประชุมวิชาการในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.กล่าวว่า
การกินอาหารทะเลเป็นประจำน่าจะมีส่วนช่วยให้อายุยืนขึ้น สุขภาพดีขึ้น
ลดความเสี่ยงจากโรคเส้นเลือดหัวใจ มะเร็ง สมองเสื่อมอัลไซเมอร์ เบาหวาน โรคที่มีการอักเสบเรื้อรัง เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ฯลฯ   การประชุมนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ แคนาดา ไอซ์แลนด์ และสำนักงานอาหารและเกษตร สหประชาชาติ (UN FAO)
เนื่องจากทารกในครรภ์มีโอกาสได้รับอันตรายจากสารเคมีในท้องทะเลมากเป็นพิเศษ
ผู้หญิงจึงควรระวังการกินอาหารทะเลในช่วงก่อนตั้งครรภ์ 6 เดือน ช่วงตั้งครรภ์ และช่วงให้นมลูก
วิธี ป้องกันง่ายๆ คือ ให้หลีกเลี่ยงปลาที่มีสารปรอทค่อนข้างมาก
เช่น ปลาฉลาม ปลาฉนาก (sword fish) ปลาคิงแมคเคอเรล ปลาทูนา ปลาวาฬ (รายงานนี้รวม tilefish ด้วย) ฯลฯ
ท่านอาจารย์วิลเลียม อี. เอ็ม. ลอร์ดส์ ซึ่งเกษียณจากตำแหน่งศาสตราจารย์ชีวเคมีในมหาวิทยาลัยมิชิแกนและอิลลินอยส์กล่าวว่าคำแนะนำนี้มีระดับความปลอดภัยจากสารพิษที่ปนเปื้อนในทะเล(โดยเฉพาะปรอทผู้เขียน) ถึง 10 เท่านั่นคือ คนทั่วไป(ไม่รวมหญิงมีครรภ์หรือให้นมลูก)กินมากกว่าคำแนะนำนี้ 10 เท่าก็ยังปลอดภัย
ศาสตราจารย์วิลเลียมกล่าวว่า เนื้อปลามีสารเซเลเนียมสูง สารนี้ทำหน้าที่ป้องกันพิษจากสารปนเปื้อนในทะเล

6 วิธีลดอาการปวดหัวระหว่างตั้งครรภ์

ว่าที่คุณแม่หลายท่านอาจคุ้นเคยกับเพื่อนสนิทยามตั้งครรภ์ที่มีชื่อว่าอาการปวดหัว” กันมาไม่มากก็น้อย
ซึ่งหลายคนอาจเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเจ้าโรคชวนหงุดหงิดนี้บ่อยครั้ง และทำให้เกิดอาการพาลกับคนใกล้ตัวได้ง่าย ๆ
วันนี้เราจึงมองหาวิธีบรรเทาอาการปวดหัว ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ว่าที่คุณแม่เองไม่ต้องอารมณ์เสีย และอ่อนเพลียได้แล้วยังทำให้คนใกล้ชิดดูแลได้อย่างสบายใจมากขึ้นด้วย
วิธีลดอาการปวดหัวที่เราหามาฝากกันในครั้งนี้ ส่งตรงมาจาก the American Pregnancy Association โดยเป็นข้อแนะนำง่าย ๆ ดังนี้
1. พยายามคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ในแง่ดี เวลาตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่หลายคนอารมณ์แปรปรวน อารมณ์เสียได้บ่อยครั้ง
เมื่อหงุดหงิดนาน ๆ เข้า คงจะหนีอาการปวดศีรษะไปไม่พ้น แต่ถ้าลองพยายามมองโลก มองสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในแง่ดี ยกตัวอย่างเช่น สามีกลับบ้านดึก ก็เพราะเขาทำงานหาเงินเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับลูกน้อยที่กำลังจะเกิด แทนที่จะเกิดอารมณ์หงุดหงิด ก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจสามีมากยิ่งขึ้นค่ะ
2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เป็นข้อที่พูดง่ายแต่อาจจะทำยาก แต่ควรจะทำเสียก่อนที่อาการปวดหัวจะถามหา แล้วนอนกี่ชั่วโมงจึงจะเหมาะสม สำหรับผู้ใหญ่ การนอนวันละ 7 – 9 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว การนอนหลับพักผ่อนนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวแล้ว ยังลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน เบาหวาน และอีกมากมายหลายโรคด้วยถ้าเมื่อใดที่คุณตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบว่า สามารถเรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้ ก็ถือว่า เวลาที่ใช้ไปกับการนอนนั้นมีคุณภาพเต็มที่แล้ว
3. รับประทานอาหารและของว่างที่มีประโยชน์ บางครั้ง หากว่าที่คุณแม่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ก็อาจเป็นตัวการทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรทานอาหารตามปกติ เน้นอาหารและของว่างที่มีประโยชน์

         4. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ สามารถช่วยบำรุงผิวพรรณ และความคิดให้แจ่มใสอยู่เสมอ
5. ออกกำลังกายเบา ๆ ตามที่คุณหมอแนะนำ แน่นอนว่าการตั้งครรภ์ไม่ใช่การป่วย
คงไม่ดีนักหากว่าที่คุณแม่จะเลือกจมจ่อมอยู่กับเตียงหรือม้านั่ง การลุกเดิน ทำกิจกรรมต่าง ๆ บ้าง นอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวแล้วยังทำให้ว่าที่คุณแม่รู้สึกว่าตนเองได้ทำประโยชน์แก่คนอื่น ๆ และช่วยเพิ่มความรู้สึกดี ๆ กับตัวเองมากขึ้นด้วย
6. ข้อสุดท้าย ก็คือพยายามกำจัดความเครียดออกจากชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
การคิดเรื่องเครียด ๆ ระหว่างตั้งครรภ์มีแต่จะทำให้ปวดหัวมากยิ่งขึ้น หากมีโอกาส ว่าที่คุณแม่อาจหาหนังสือธรรมะมาอ่านช่วยฝึกจิตใจก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะหลักธรรมคำสอนในทางพุทธศาสนาสามารถช่วยให้ความเครียดในใจคลายลงได้เป็นอย่างดี

6 Step สยบอาการแพ้ท้อง

อาการแพ้ท้อง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
วิธีช่วยให้อาการแพ้ท้องหายขาดนั้นไม่มี มีเพียงวิธีบรรเทาให้เบาลง โดยอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง
ซึ่งทำได้ง่าย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

1.หลังจากที่ตื่นนอน ไม่ควรลุกจากที่นอนทันที ให้ค่อยๆ ลุกและนั่งพักอยู่ที่เตียงก่อนเป็นเวลา 10 – 15 นาที
ระหว่างนี้ควรจิบน้ำขิงอุ่นๆ มีงานวิจัยว่า การดื่มน้ำขิงจะช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ในหญิงมีครรภ์ และถ้าให้ดีควรดื่มหลังตื่นนอนใหม่ๆ
2. ควรเลือกทานอาหารอ่อนๆ เพราะระหว่างตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในร่างกายที่สูงขึ้นจะส่งผลทำให้ลำไส้ทำงานช้าลง
และเมื่อลำไส้ทำงานหนักไป จะส่งผลให้มีอาการพะอืดพะอม ที่สำคัญ ควรแบ่งอาหารออกเป็นหลายๆ มื้อ
และไม่ควรทานอิ่มเกินไป จะทำให้อยากอาเจียนได้ง่าย
3. เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า กลางวัน หรือเย็น ไม่ควรนั่งหรือนอนพักผ่อนทันที
แต่ให้ออกกำลังกายด้วยการเดินเล็กน้อย หรือทำงานบ้านเบาๆ เช่น กวาดพื้น รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ ประมาณ 15 นาที
เพื่อช่วยให้อาหารย่อยและรู้สึกผ่อนคลาย การกินอิ่มๆ และนอนในทันทีจะทำให้อาหารย้อนกลับได้ง่ายขึ้น
และส่งผลให้พะอืดพะอมได้
4.ในระหว่างวัน หากรู้สึกเปรี้ยวปากหรือพะอืดพะอมมาก ให้หาลูกอม ขนมขบเขี้ยวหรือผลไม้   ทานระหว่างวัน ของเปรี้ยว ของขบเคี้ยวจะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้มาก
5. อาหารที่มีกลิ่นแรงหรืออาหารแสลงที่อาจทำให้รู้สึกพะอืดพะอม เช่น ปลาหมึก ทุเรียน หรือแม้แต่กลิ่นน้ำหอม กลิ่นดอกไมควรบอกให้คนที่บ้านทราบว่าเราแพ้หรือไม่ เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้นำเข้าบ้าน หรือเข้ามาใกล้คุณแม่ค่ะ
6.การนอนที่เพียงพอในตอนกลางคืน และได้นอนพักบ้างในตอนกลางวัน จะช่วยลดอาการวิงเวียน คลื่นไส้ได้
และสถานที่พักผ่อน ควรจัดให้ปลอดโป่รง มีอากาศถ่ายเท

ส่วนข้อควรระวังและข้อควรทำสำหรับคนที่มีอาการแพ้ท้องนั้นควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่แออัด มีฝุ่นควัน เพื่ออากาศจะได้ถ่ายเทสะดวก ช่วยลดอาการวิงเวียนได้มาก งดรับประทานของทอด ของมันๆ ตลอดจนการสูบบุบุหรี่ ดื่มสุรา และสารเสพติด

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ต้องพยายามไม่เครียด เป็นกังวล วิตกจริต ทำใจให้สบายๆ หรือหาวิธีผ่อนคลายความเครียดง่ายๆ เช่น ทำงานเบาๆ อยู่กับต้นไม้ ธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม อย่าหักโหมเกินไป แต่หากมีอาการแพ้ท้องมาก รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ทันที

คอมเมนท์